วัฒนธรรมมีความหมายครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง ที่แสดงออกถึงวิถีชีวิตของมนุษย์ในสังคมกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือสังคมใดสังคมหนึ่ง ซึ่งแสดงความเจริญก้าวหน้าของมนุษย์ หรือลักษณะประจำชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในสังคม ดังนั้นในโลกแห่งความเป็นจริงทั้งไทยและเทศหรือแม้กระทั่งผู้คนในประเทศเดียวกันจึงมีความแตกต่างทางด้านทางวัฒนธรรม จากความหมายดังกล่าวจึงทำให้วัฒนธรรมเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งในความเป็นสังคมใดสังคมหนึ่ง ซึ่งเกิดจากการเรียนรู้และถ่ายทอดซึ่งกันและกันผ่านรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง ในขณะเดียวกันมันยังสามารถกำหนดปัจจัยที่สำคัญในการดำเนินชีวิต ไม่ว่าจะเป็น เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่อาศัย การแสดงความรู้สึกทางอารมณ์ อีกทั้งยังเป็นตัวกำหนดการกระทำบางอย่าง ในชุมชนว่าเหมาะสมหรือไม่ ซึ่งการกระทำบางอย่างในสังคมหนึ่งเป็นที่ยอมรับว่าเหมาะสมแต่ไม่เป็นที่ยอมรับในอีกสังคมหนึ่ง ในสังคมมุสลิมจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็เช่นกันหากมองในภาพรวมของประเทศไทยในเชิงพื้นที่ก็จะเป็นชนกลุ่มน้อยแต่หากมองเฉพาะจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็จะพบว่าเขาจะเป็นชนกลุ่มใหญ่ที่มีวิถีชีวิตซึ่งสะท้อนถึงวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าในสังคมไทยและสามารถเชื่อมร้อยกับสังคมมลายูมุสลิมในภูมิภาคอาเซี่ยนอีกกว่า สองร้อยล้านคน
ดังนั้นผู้เขียนขอกล่าวถึงวิถีวัฒนธรรมของผู้คนมุสลิมไทยเชื้อสายมลายูในจังหวัดชายแดนภาคใต้ผ่านประเด็นต่างๆดังนี้
1.ประชากร ที่ตั้งภูมิศาสตร์และเศรษฐกิจท้องถิ่น
ประชากรในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ส่วนใหญ่เป็นชาวไทยมุสลิมเชื้อสายมลายู นับถือศาสนาอิสลาม นิยมพูดภาษามลายูท้องถิ่นเป็นภาษาหลักที่ใช้พูดกันในบ้าน สัดส่วนประชากรในปี 2546 มีจำนวน ร้อยละ 79.3 หรือ 1.39 ล้านคนจากประชากรทั้งหมด 1.75 ล้านคน ในขณะที่มีชาวไทยพุทธอยู่เพียงร้อยละ 20.1 ซึ่งกระจายอยู่ทั่วไปทั้งในเขตเมืองและชนบท ในปี 2543 ซึ่งเป็นปีล่าสุดที่เมื่อรัฐบาลสำรวจสำมะโนประชากรทั่วประเทศครั้งล่าสุดในปี 2543 พบว่ามีมุสลิมทั่วประเทศไทยอยู่ 2.78 ล้านคน หรือเพียงร้อยละ 4.56 ของประชากรไทยทั้งหมด ขณะเดียวกันสัดส่วนของพุทธศาสนิกชนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ลดลงจากประมาณร้อยละ 26 ในปี 2503 เหลือร้อยละ 20 ในปี 2546 โดยที่อัตราการขยายตัวของประชากรที่เป็นพุทธศาสนิกชนลดลงอย่างมากในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ที่น่าสนใจคือ การที่ประชากรชาวไทยพุทธลดจำนวนลงดังกล่าวนี้เกิดขึ้นก่อนจะเกิดเหตุการณ์รุนแรงตั้งแต่ต้นปี 2547 เป็นต้นมา ผลโดยรวมคือ สัดส่วนประชากรมุสลิมเพิ่มขึ้น เมื่อดูที่ตั้งภูมิศาสตร์พบว่า พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยมีอาณาเขตติดต่อกับตอนเหนือของมาเลเซียเป็นระยะยาวถึง 573 กิโลเมตร ประชากรทั้งสองประเทศในเขตนี้มีใกล้ชิดกันมาก ความใกล้ชิดในสภาพภูมิศาสตร์เช่นนี้ ส่งผลให้เกิดปัญหาอย่างน้อยสองประการ
ประการแรกปัญหาคนสองสัญชาติซึ่งบางฝ่ายเห็นว่ามีจำนวนร่วมแสนคน เรื่องนี้ฝ่ายความมั่นคงเห็นว่าเป็นปัญหา
ประการที่สองการอพยพข้ามไปฝั่งมาเลเซีย เช่นที่เกิดขึ้นกับกรณีคนไทย 131 คนอพยพไปอยู่ในกลันตัน เมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2548 ปฏิกิริยาจากมาเลเซีย โดยผู้ว่าการรัฐกลันตันและผู้นำพรรค อิสลามมาเลเซีย(PAS ) กำหนดท่าทีผู้อพยพจากฝั่งไทยขอให้เป็นเรื่องของรัฐบาลกลาง แต่รัฐกลันตัน ถือว่าการอพยพของคนกลุ่มนี้สำคัญมากสำหรับชาวกลันตัน เพราะญาติพี่น้องของชาวกลันตันจำนวนมากยังติดอยู่ในความขัดแย้งในเขตไทย ความสำคัญของภูมิรัฐศาสตร์ในลักษณะนี้ พลเอก กิตติ รัตนฉายา อดีตแม่ทัพภาค 4 จึงชี้ให้เห็นว่า การแก้ปัญหาภาคใต้ต้องอาศัยความร่วมมือจากรัฐบาลมาเลเซียดังนั้นจะมองมาเลเซียเป็นผู้ร้ายไม่ได้ สำหรับ เศรษฐกิจท้องถิ่น ในช่วงระหว่างปี 2541-2546 เศรษฐกิจของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ขยายตัวอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าพื้นที่อื่นๆ และประเทศไทยโดยรวมอย่างมาก หมายความว่าก่อเหตุรุนแรงปะทุหนักในปี 2547 ภาวะเศรษฐกิจของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่เข้มแข็งนัก พึ่งพิงภาคเกษตรเป็นหลัก แม้จะตัดภาคประมง (ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าภาคอื่นๆ เช่นกัน) ออกไปแล้ว ภาคเกษตรของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ยังคงมีขนาดใหญ่กว่าในพื้นที่อื่นๆ ของประเทศไทย ยิ่งเมื่อพิจารณาอัตราการขยายตัวของผลผลิตในภาคเกษตรที่มิใช่ประมงของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในช่วงปี 2541-2546 และพบว่าผลผลิตในภาคเกษตรที่มิใช่ประมงขยายตัวในอัตราร้อยละ 5.5 ต่อปี ขณะที่ผลผลิตในภาคประมงในช่วงเวลาเดียวกันกลับขยายตัวลดลงในอัตราร้อยละ 0.3 ต่อปี ซึ่งแสดงว่าปัญหาเศรษฐกิจของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีผลมาจากความตกต่ำในภาคเกษตร
สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังติดอันดับ 1-4 ของจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนด้านรายได้มากที่สุดของภูมิภาค โดยมีจำนวนรวมสูงถึง 311,500 คน คิดเป็นร้อยละ 47.6 ของคนจนทั้งภูมิภาค นอกจากนั้นยังเป็นพื้นที่ซึ่งมีการกระจายรายได้ไม่เท่าเทียมกันสูง
อาจกล่าวได้ว่าปัญหาสำคัญอยู่ที่เศรษฐกิจของสามจังหวัดนี้พึ่งพิงภาคเกษตรมากเกินไป ทำให้ต้องมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์เป็นปัจจัยรองรับกระบวนการผลิต แต่ทรัพยากรธรรมชาติในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้กำลังถูกแรงกดดันอย่างมาก เมื่อภาคที่ใช้แรงงานมากที่สุดถูกแรงกดดันเช่นนี้ ผู้คนที่หาเลี้ยงชีพในภาคเกษตรก็จะออกไปแสวงหางานหรืออาชีพในภาคอื่นๆ
แต่กลับเป็นว่า โอกาสมีงานทำของคนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ค่อนข้างน้อย เป็นเหตุให้แรงงานที่อยู่ในวัย 20-24 ปี ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีสัดส่วนว่างงานสูงกว่าภาคอื่นๆ ซึ่งเป็นผลมาจากความอ่อนแอของระบบการศึกษาสามัญ ในแง่นี้อาจกล่าวได้ว่า ปัญหาทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขเชิงโครงสร้างที่เปิดโอกาสให้กลุ่มหรือขบวนการของผู้ก่อความไม่สงบสามารถหาแนวร่วมหรือพวกพ้องมาร่วมก่อความรุนแรงได้ง่ายขึ้น
2. ภาษาและความเชื่อ
ผศ.ดร.อิบราเฮ็ม ณรงค์รักษาเขต กล่าวว่าความจริงแล้วความเชื่อไม่ใช่ตัวรากเหง้าของปัญหาความไม่สงบที่แท้จริง ความแตกต่างทางความเชื่อ อันเป็นที่มาของความแตกต่างทางวัฒนธรรมและประเพณีของประชาชนส่วนใหญ่ใน พื้นที่กับภาครัฐได้ก่อให้เกิดช่องว่างระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ การปกครองที่ขาดความเข้าใจในความเชื่อ วัฒนธรรมประเพณี เชื้อชาติ ศาสนาของคนในท้องถิ่นได้นำมาซึ่งปัญหามากมาย นโยบายรัฐนิยมของอดีตนายกรัฐมนตรีจอมพล ป. พิบูลสงครามที่นำมาใช้ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในช่วงปี พ.ศ. 2490 ได้กลายมาเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้ประชาชนมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่พอใจ และเป็นสาเหตุหนึ่งของความหวาดระแวงและความไม่ไว้วางใจที่มีต่อภาครัฐจนถึง ทุกวันนี้
การประท้วงเรื่องฮิญาบของนักศึกษาวิทยาลัยครูยะลา (มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา) เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2531 เป็นตัวอย่างหนึ่งที่เห็นอย่างชัดเจน เมื่อฝ่ายอาจารย์ของวิทยาลัยและคนของภาครัฐมองว่าฮิญาบ (การแต่งกายของสตรีตามหลักการอิสลาม) เป็นเรื่องของวัฒนธรรมประเพณีของชาวอาหรับ ไม่ใช่เป็นหลักการของอิสลามที่สะท้อนผ่านความเชื่อและหลักศรัทธาที่แรงกล้า เมื่อนักศึกษาเหล่านี้ถูกกีดกันมิให้ปฏิบัติตามหลักการอิสลาม ชาวมุสลิมจึงมองว่ารัฐลิดรอนสิทธิในการปฏิบัติตามหลักการของศาสนาของพวกเขา
ภาษามลายู เป็นเครื่องเชื่อมร้อยผู้คนในปัจจุบันเข้ากับอดีตอันรุ่งเรืองของอาณาจักรปาตานี ยิ่งเมื่อศาสนาอิสลามสามารถครองใจคนส่วนใหญ่แหลมมลายู ผู้คนในดินแดนนี้ก็นำอักษรอาหรับมาเขียนในระบบภาษามลายู ภาษามลายูที่เขียนด้วยอักษรอาหรับจึงไม่เพียงมีคุณค่าทางการสื่อสาร แต่ยังมีความหมายของความเชื่อและศรัทธาเพราะใช้ในการศึกษาและเผยแผ่ศาสนาอิสลามตลอดจนในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ต่างๆด้วยเหตุนี้ภาษามลายูจึงเป็นดังขุมทรัพย์ทรงค่าทางวัฒนธรรม และเป็นเกียรติภูมิของชาวไทยมุสลิมเชื้อสายมลายูในเวลาเดียวกัน ในทางหนึ่งความเป็น”มลายู”นี้แตกต่างจากคนมาเลย์ในประเทศมาเลเซีย เพราะขณะที่มาเลเซียเป็นประเทศซึ่งเพิ่งเกิดใหม่ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 นี้ ปาตานีในอดีตเป็นศูนย์กลางการศึกษาศาสนาอิสลามหนึ่งในสองแห่งในอุษาคเนย์ (อีกแห่งหนึ่งคือ อาเจะห์ ซึ่งถือกันว่าเป็นประตูสู่นครมักกะห์อันศักดิ์สิทธิ์) มากว่า 700 ปีแล้ว เมื่อสามร้อยปีก่อน ปาตตานีได้กลายเป็นศูนย์กลางการศึกษาศาสนาอิสลามที่ดีที่สุดในแหลมมลายู ตำราทางศาสนาอิสลามทั้งหมดที่เขียนโดยปวงปราชญ์ปัตตานีนั้น ถ้าไม่เป็นภาษาอาหรับก็เขียนเป็นภาษามลายูด้วยอักษรอาหรับที่เรียกว่าตัวหนังสือยาวีมาว่าจะเป็นชัยคฺดาวุด อัลฟะฏอนีย์หรือ ชัยคฺอะห์มัด ผู้คนส่วนใหญ่ในเขตจังหวัดชายแดนภาคใต้นับถือศาสนาอิสลาม และเช่นเดียวกับชาวมุสลิมส่วนใหญ่ในโลกพวกเขาเป็นสายซุนนะห์(Sunni) อาจกล่าวได้ว่า ศาสนาอิสลามเชื่อมผู้คนในจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้ากับชะตากรรมของโลกมุสลิม ดังนั้นจึงได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ของโลกที่เกี่ยวข้องกับมุสลิมเข้าไว้ด้วย
ในบริบทของปัญหาความรุนแรงจังหวัดชายแดนภาคใต้มีสองประเด็นที่ควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม
2.1 ความเคร่งครัดทางศาสนาของชาวมุสลิม
ในทางหลักการ ชาวมุสลิมทุกคนทั้งชายหญิงจึงอยู่ในฐานะทั้งเป็นผู้ครองเรือนและผู้ครองธรรม ซึ่งต้องปฏิบัติตัวตามกรอบของศาสนา
ศาสนาอิสลามกำหนดวิถีชีวิตของมุสลิมทั้งในเรื่องการกิน การอยู่ การแต่งกาย และการประพฤติปฏิบัติต่างๆ ดังนั้นมุสลิมศรัทธาว่าศาสนาคือแนวทางการดำเนินชีวิต ทุกอริยบทในการกระทำ ฟัง พูด อ่าน เขียน และคิดจะใช้หลักการศาสนาเป็นตัวกำหนดและชี้วัด
ศาสนาอิสลามก็ไม่ต่างอะไรจากระบบวัฒนธรรมอื่นๆที่เป็นกรอบกำหนดพฤติกรรม ขณะที่วัฒนธรรมในสังคมไทยเป็นแบบแผนทางสังคม แต่แบบแผนพฤติกรรมของชาวมุสลิมเป็นปัญหาทางศาสนาและจิตวิญญาณของชาวมุสลิม ด้วยเหตุนี้เรื่องซึ่งดูเหมือนเล็กน้อย ก็กลายเป็นปมขยายความขัดแย้งให้เคลื่อนเข้าหาความรุนแรงได้
2.2 การต่อสู้เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม
ทัศนะของชาวมุสลิมต่อความยุติธรรมและการต่อสู้ คำกล่าวว่า “ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาของสันติภาพ”ดูเหมือนจะขัดกับความเป็นจริงในโลก เมื่อพิจารณาเหตุการณ์รุนแรงที่เกี่ยวข้องกับมุสลิมไม่ว่าจะเป็นในตะวันออกกลางและในที่อื่นๆ ซึ่งต้องเข้าใจปมสำคัญของปัญหานี้ด้วยว่า สำหรับมุสลิมนั้น”สันติภาพ”หมายรวมถึงความยุติธรรมด้วย
ศาสนาอิสลามอนุญาตให้ชาวมุสลิมต่อสู้ได้เพื่อปกป้องพิทักษ์สัจจธรรม รักษาความสงบสันติ และยับยั้งความอยุติธรรม การข่มขู่ และการละเมิดรุกราน ต่อสู้เพื่อให้รอดพ้นจากการกดขี่ข่มเหง และความไม่เป็นธรรมจากน้ำมือของฝ่ายอธรรมซึ่งเรียกว่าการญิฮาด อย่างน้อยที่สุดก็ด้วยการอพยพหลบหนีไปยังสถานที่อันปลอดภัย ชีวิตของชาวมุสลิมดำรงอยู่ในโลกที่มีอัลลอฮ์เป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง ต้องพยายามอดทนกับชะตากรรมในฐานะบททดสอบจากพระองค์ และให้พยายามต่อสู้เปลี่ยนแปลงโลกที่ไม่เป็นธรรมให้ดีขึ้น ที่สำคัญต้องตระหนักว่า การต่อสู้เช่นนี้มิใช่เป็นเพียงประเด็นทางการเมือง แต่เป็นภาระทางจิตวิญญาณที่ผู้ศรัทธาต้องหาหนทางให้กับตัวเอง วัฒนธรรมอิสลามมีระบบความหมายที่พร้อมจะให้ความชอบธรรมกับการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมอยู่แล้ว จากมุมมองของมุสลิมภาวะที่ไร้ความเป็นธรรมจึงเป็นเหตุผลรองรับการต่อสู้ในหนทางของพระเป็นเจ้าที่ทรงพลังยิ่ง ดังท่านศาสดาได้เคยสอนไว้ความว่า “การญิฮาดที่ประเสริฐสุดคือการพูดจริงต่อหน้าผู้มีอำนาจที่ฉ้อฉล” ดังนั้นมุสลิมทุกคนจึงกล้าคิดกล้าพูดกล้าทำ เพราะนั่นคือการญิฮาดที่ได้รับกุศลจากพระเจ้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น